ช่วงหลังมานี้เราจะได้ยินคำว่า Proactive มากขึ้นกว่าเดิม หลายคนพยายามทำงานอย่างหนักเพื่อให้ผลงานที่ออกมามีคุณภาพและมีจำนวนมากที่สุดเท่าที่เราจะสามารถทำไหว บางคนถึงขั้นที่ไม่มีเวลาในการใช้ชีวิตเป็นของตัวเอง แม้แต่การทำเรื่องธรรมดาทั่วไปอย่างการกินข้าวหรือเข้าห้องน้ำยังไม่สามารถทำได้ตามปกติด้วยซ้ำ ด้วยมุมมองว่างานหนักไม่เคยฆ่าใครตาย แต่ความจริงแล้วการทำงานหนักเกินไปส่งผลต่อสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจมากกว่าที่เราคิด Work life balance จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ควรทำงานยุคนี้ต้องใส่ใจ เพราะถ้าเราทำงานหนักจนร่างกายทรุดโทรม งานที่ออกมาก็ไม่มีคุณภาพอยู่ดี เพราะเราไม่พร้อมนั่นเอง
Work life balance คืออะไร มีอยู่จริงบนโลกทุนนิยมหรือไม่
Work life balance เป็นแนวคิดเกี่ยวกับการปรับสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว เพื่อลดผลกระทบจากการทำงานหนักเกินไป ซึ่งมีประโยชน์สำหรับคนยุคใหม่ ทั้งที่ทำงานประจำและอาชีพอิสระ หลายคนอาจมองว่า work life balance ไม่มีจริง แต่ในความเป็นจริงแล้วเราสามารถสร้างมันขึ้นมาได้ และมันก็เริ่มต้นที่ตัวเราเอง เราต้องหาความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว ให้เราสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันก็ต้องมีความสุขกับชีวิตด้วย
เปิดเทคนิคการสร้างสมดุลระหว่างชีวิตทำงานและชีวิตส่วนตัว
work-life balance ทฤษฎีมีมากมายเต็มไปหมด แต่เชื่อว่าหลายคนอ่านแล้วคงรู้สึกว่ามันทำตามได้ยาก เพราะเราต้องทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินมาใช้จ่ายในโลกทุนนิยมปัจจุบัน บางคนถึงขั้นที่ไม่กล้าปฏิเสธงานเลยก็มี เราเลยจะไม่บอกวิธีหรือทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสมดุลในชีวิต แต่จะมาแนะนำเทคนิคให้ทุกคนได้ลองทำตามกัน ดังนี้
- ตั้งเป้าหมายและจัดลำดับความสำคัญ สิ่งแรกทุกคนที่ต้องทำคือการตั้งเป้าหมายและจัดลำดับความสำคัญให้กับงานต่างๆ ในแต่ละวัน เพื่อให้เราสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันเวลา โดยพิจารณาจากงานที่สำคัญและเร่งด่วนก่อน จากนั้นจึงค่อยพิจารณางานอื่นๆ ตามลำดับ อะไรที่ไม่เร่งรีบ ไม่สำคัญ ยังไม่ต้องรีบทำก็ได้
- เคารพเวลาพักผ่อนของตนเอง เมื่อถึงเวลาพักผ่อน เราก็ควรจะหยุดคิดถึงเรื่องงานด้วย ไม่นำเอางานกลับมาทำที่บ้าน หรือจะปิดโทรศัพท์มือถือไปเลยก็ได้ เพื่อไม่ให้งานรบกวนเวลาพักผ่อนและไม่ทำให้เครียด เดี๋ยวนี้โทรศัพท์มือถือมีฟีเจอร์พักผ่อนหรือส่วนตัวที่จะปิดการแจ้งเตือนบนแอฟพลิเคชันที่เราใช้ทำงานได้ด้วย
- หากิจกรรมอื่น ๆ ที่สนใจทำนอกเวลางาน การใช้เวลาทำกิจกรรมที่สนใจหรืองานอดิเรกนอกเวลางานจะช่วยให้ผ่อนคลายความเครียดและมีความสุขกับชีวิตมากขึ้น ไม่จำเป็นต้องเป็นงานอดิเรกที่ได้ประโยชน์เสมอไป ขอเพียงให้มันช่วยให้เรารู้สึกผ่อนคลายก็เพียงพอแล้ว อย่างเช่นการออกกำลังกาย ดูหนังฟังเพลง ใช้เวลากับครอบครัวและเพื่อนฝูง หรือเล่นดนตรี
- สื่อสารกับหัวหน้างานหรือเพื่อนร่วมงาน หากมีความต้องการในการปรับสมดุลชีวิตการทำงาน ควรสื่อสารกับหัวหน้างานหรือเพื่อนร่วมงานเพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมร่วมกัน เพราะต้องยอมรับว่ามนุษย์เงินเดือนที่ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมออฟฟิศไม่สามารถปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตตัวเองปุบปับได้ หากเรามองว่างานนี้เริ่มส่งผลกระทบต่อสมดุลชีวิตของเรา ขอแนะนำให้ทุกคนพูดคุยกับผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อหาทางออกร่วมกันดีกว่า
- เรียนรู้ที่จะปฏิเสธ หากได้รับงานหรือหน้าที่ที่มากเกินไป เราต้องมีความกล้าที่จะปฏิเสธบ้าง โดยเฉพาะงานที่อยู่เหนือความรับผิดชอบของเรา เพราะหากเรารับงานเหล่านี้มาอาจทำให้งานไม่เสร็จทันเวลาและสร้างความเครียดให้กับตนเองทั้งที่มันไม่ใช่เรื่องของเราตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ตัวอย่างของการสร้างสมดุลในชีวิตทำงานและชีวิตส่วนตัว เช่น
- ทำงาน 9-5 เลิกงานตรงเวลา ไม่ทำงานล่วงเวลาโดยไม่มีเหตุจำเป็น
- ควรมีวันหยุดพักผ่อนอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 วัน
- ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวและเพื่อนฝูงเป็นประจำ
- ทำกิจกรรมที่สนใจนอกเวลางาน
จะเห็นได้ว่าความสมดุลไม่ได้หมายถึงการแบ่งเวลาระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวอย่างเท่าเทียมกัน แต่หมายถึงการหาความสมดุลที่เหมาะสมสำหรับแต่ละบุคคล เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความสุขกับชีวิตมากขึ้น ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลเองว่าความสมดุลของเรานั้นเป็นแบบไหน
เปิดอาชีพที่มีสมดุลทั้งชีวิตทำงานและชีวิตส่วนตัว
บางคนอาจมองว่าที่ชีวิตตอนนี้ไร้ความสมดุลอย่างสิ้นเป็นเชิง เป็นเพราะว่า work life balance ในองค์กรหรืองานที่เรากำลังทำอยู่มันไม่เอื้ออำนวยให้เราสามารถสร้างความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวของเราได้ แต่เราก็ยังคงยอมทำเพราะเงินคือปัจจัยที่มีความสำคัญในยุคนี้ แต่ความจริงแล้วมีงานมากมายที่ไม่ส่งผลกระทบต่อชีวิตส่วนตัวแถมยังเป็นที่ต้องการของตลาดอีกต่างหาก จะมีอาชีพอะไรบ้าง ไปดูกันเลย
- อาชีพอิสระ อาชีพอิสระเป็นอาชีพที่เราสามารถเลือกเวลาทำงานและสถานที่ทำงานได้เองตามต้องการ มันจึงเป็นอาชีพที่ค่อนข้างอิสระในการแบ่งเวลาระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวได้ดี อย่างเช่นการเป็นศิลปิน นักเขียน นักออกแบบ
- อาชีพภาครัฐ อาชีพภาครัฐมีชั่วโมงการทำงานที่ชัดเจนและแน่นอน ไม่ค่อยมีการทำงานล่วงเวลาสักเท่าไหร่ มีวันหยุดพักผ่อนและวันหยุดยาวที่เพียงพอ รวมถึงมีสวัสดิการที่ดีอย่างประกันสุขภาพ กองทุนกบข. หรือบำเหน็จบำนาญหลังเกษียณ อย่างเช่นการเป็นข้าราชการ หรือพนักงานรัฐวิสาหกิจ
- อาชีพในสายเทคโนโลยี อาชีพในสายเทคโนโลยีมีชั่วโมงการทำงานที่ค่อนข้างยืดหยุ่น เนื่องจากเป็นอาชีพที่เราสามารถทำงานจากที่บ้านได้ อย่างเช่นการเป็นซอฟต์แวร์วิศวกร หรือนักพัฒนาเว็บไซต์
- อาชีพในสายงานบริการ อาชีพในสายงานบริการมักจัมีชั่วโมงการทำงานที่ค่อนข้างยืดหยุ่น แต่อาจต้องทำงานล่วงเวลาหรือทำงานนอกเวลาบ้าง ตัวอย่างอาชีพในสายงานบริการ เช่น พนักงานขาย พนักงานต้อนรับ เป็นต้น
เคล็ดลับในการหาอาชีพที่มีสมดุลชีวิต
- สำรวจตัวเองว่าต้องการงานแบบไหน ต้องการมีเวลาว่างมากน้อยแค่ไหน
- ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับอาชีพต่างๆ เพื่อเปรียบเทียบการทำงานว่ามีความสมดุลไหม
- พูดคุยกับคนที่ทำงานในอาชีพนั้นๆ เพื่อขอคำแนะนำ
- มองหาโอกาสในการทำงานจากที่บ้านหรือทำงานที่มีเวลายืดหยุ่น
สมดุลชีวิตนั้นสำคัญไฉน ทำไมหลายคนอยากได้งานที่เพิ่มความสมดุลให้ชีวิต
work life balance สำคัญยังไง คงเป็นคำถามที่หลายคนถามกับตัวเองว่ามันสำคัญมากพอถึงขั้นที่เราจะต้องเปลี่ยนงานหรือเปล่า เพราะการเปลี่ยนงานแต่ละทีจะส่งผลกระทบต่อชีวิตของเรามากมายเลยทีเดียว เราขอตอบตรงนี้เลยว่าสมดุลชีวิตมีความสำคัญมากๆ มนุษย์ทุกคนต้องการเวลาพักผ่อน แม้แต่เครื่องจักรเองยังต้องมีเวลาปิดเครื่องเลย ประโยชน์ของการมีสมดุลชีวิตจะมีอะไรบ้าง ไปดูกัน
- ช่วยให้มีความสุขกับชีวิตมากขึ้น เนื่องจากการทำงานหนักอย่างต่อเนื่องอาจสร้างผลกระทบในหลาย ๆ ด้าน เช่น เครียด เหนื่อยล้า สุขภาพแย่ลง ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างแย่ลง เป็นต้น
- ช่วยให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากมีเวลาพักผ่อนและฟื้นฟูร่างกาย ทำให้สมองปลอดโปร่ง คิดงานได้ดีขึ้น
- ช่วยให้ประสบความสำเร็จในชีวิตมากขึ้น เนื่องจากมีเวลาทำกิจกรรมอื่น ๆ ที่สนใจและสร้างความสุขให้กับตนเอง