แจ้งข่าว สิทธิบัตรทองในพื้นที่น้ำท่วม เข้ารักษาฟรีทุกโรงพยาบาล สำหรับท่านผู้ป่วยบัตรทองในพื้นที่น้ำท่วมในเวลานี้ท่านสามารถใช้บริการที่หน่วยบริการหรือสถานพยาบาลที่ไม่ใช่หน่วยบริการตามสิทธิได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น…
สิทธิบัตรทองในพื้นที่น้ำท่วม เข้ารักษาฟรีทุกโรงพยาบาล
ตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับประเด็นเรื่องผู้ป่วยบัตรทองในพื้นที่น้ำท่วม สามารถใช้บริการที่หน่วยบริการหรือสถานพยาบาลที่ไม่ใช่หน่วยบริการตามสิทธิได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กระทรวงสาธารณสุข จากสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดในหลายจังหวัด และทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันนั้น นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้สั่งการให้สปสช.ให้ความช่วยเหลือประชาชนและโรงพยาบาลที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งสปสช.ได้ทำการแจ้งหน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เรื่องการขอรับค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุขกรณีเกิดอุทกภัยในพื้นที่ต่าง ๆ ที่ให้บริการผู้ป่วยในช่วงน้ำท่วม ให้บริการโดยไม่คิดมูลค่า และสามารถเบิกงบประมาณจากสปสช.ได้
ผู้ป่วยในพื้นที่น้ำท่วมสามารถใช้บริการสถานพยาบาลที่ไม่ใช่หน่วยบริการโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
นอกจากนี้ โดยผู้ป่วยสิทธิบัตรทองในพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมสามารถใช้บริการที่หน่วยบริการหรือสถานพยาบาลที่ไม่ใช่หน่วยบริการตามสิทธิได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งทางหน่วยบริการจะเบิกค่าใช้จ่ายจาก สปสช.ตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.nhso.go.th หรือโทรสายด่วน 1330 หรือเพิ่มเพื่อนไลน์กับ สปสช. พิมพ์ @nhso สอบถามข้อมูล หน่วยงานที่ตรวจสอบ : สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กระทรวงสาธารณสุข
แนวทางการใช้สิทธิบัตรทอง
เมื่อลงทะเบียนแล้ว สามารถเข้ารับบริการที่หน่วยบริการประจำตามสิทธิ หากการรักษาพยาบาลเกินศักยภาพของหน่วยบริการ แพทย์จะพิจารณาส่งต่อไปยังหน่วยบริการที่มีศักยภาพสูงกว่าตามภาวะความจำเป็นของโรค และสามารถขอเปลี่ยนโรงพยาบาลได้ไม่เกิน 4 ครั้งต่อปี โดยแจ้งได้ที่สถานที่ลงทะเบียนและเริ่มใช้บริการที่แห่งใหม่ได้ทันที รวมทั้ง สปสช. ได้เปิดช่องทางการลงทะเบียนเปลี่ยนหน่วยบริการ หรือลงทะเบียนสิทธิบัตรทอง/ย้ายสิทธิการรักษาพยาบาล ได้ด้วยตนเองทางออนไลน์ไว้ 2 ช่องทาง ได้แก่ Application สปสช. หรือ Line สปสช. (LINE ID: @nhso)
- หากพักอาศัยในพื้นที่ (ปริมณฑล หรือ ต่างจังหวัด) สามารถติดต่อลงทะเบียนย้ายสิทธิได้ด้วยตนเอง ได้ที่หน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เช่น โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ในพื้นที่ผู้ขอลงทะเบียนพักอาศัยอยู่จริง หรือที่คุ้นเคยในชื่อสถานีอนามัย ศูนย์บริการสาธารณสุข คลินิกชุมชนอบอุ่น ศูนย์สุขภาพชุมชนเมือง รพ.รัฐใกล้บ้าน (ในพื้นที่อำเภอที่ผู้ขอลงทะเบียนพักอาศัยอยู่จริง) สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด สปสช.เขต 1 – 12
- หากพักในกรุงเทพมหานคร ติดต่อได้ที่ สปสช.เขต 13 กทม. หรือจุดลงทะเบียนสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติในพื้นที่ กทม. ได้แก่ สำนักงานเขต 19 เขตของ กทม. โดยเมื่อลงทะเบียนแจ้งสิทธิเรียบร้อยแล้ว จะเกิดสิทธิใหม่ทันที
- เจ็บป่วยทั่วไป ที่ไม่ใช่อาการฉุกเฉิน สามารถเข้ารับบริการที่หน่วยบริการประจำตามสิทธิ เพียงยื่นบัตรประชาชน
- เจ็บป่วยฉุกเฉิน ที่ต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที เพื่อป้องกันการเสียชีวิตหรืออาการรุนแรงขึ้น แบ่งออกเป็น 3 ระดับ สีแดง สีเหลือง และสีเขียว (ตามนิยามทางการแพทย์) ให้เข้ารับบริการกับหน่วยบริการของรัฐหรือเอกชนที่เข้าร่วมโครงการที่อยู่ใกล้ที่สุดโดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง กรณีเป็นโรงพยาบาลเอกชนที่ไม่เข้าร่วม ให้ติดต่อสายด่วน สปสช. 1330 เพื่อแนะนำข้อมูลหรือประสานหาเตียงรองรับ
- อุบัติเหตุ แบ่งเป็น 2 กรณี หากประสบอุบัติเหตุทั่วไป ให้ปฏิบัติเหมือนกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน แต่กรณีประสบอุบัติเหตุจากรถ ต้องใช้สิทธิตาม พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถหมดก่อน ส่วนเกินจึงจะใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้
เมื่อผู้มีสิทธิบัตรทองต้องเดินทาง เช่น กลับไปเยี่ยมญาติต่างจังหวัด แล้วมีความจำเป็นต้องเข้ารักษาที่โรงพยาบาล เช่น ถูกสุนัขกัด ถือเป็นอุบัติเหตุก็ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้ในการทำแผลและการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า โดยสามารถเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลอื่นได้ แต่ให้เข้าสถานพยาบาลของรัฐที่ใกล้ที่สุดก่อน และสามารถรับบริการได้ครบตามกำหนดของการรับวัคซีน เฉพาะกรณีที่ไม่สามารถเดินทางกลับไปรับวัคซีนเข็มถัดไปที่โรงพยาบาลตามสิทธิได้ (ตรวจสอบสิทธิหลักประกันสุขภาพที่ https://eservices.nhso.go.th/eServices/mobile/login.xhtml)
เป็นอย่างไรกันบ้างสำหรับข้อมูลที่ทางเรานำมาฝากหวังว่าท่านจะได้รับความรู้จากบทความนี้ นอกจากนี้เรายังมีอีกหลายๆบทความที่จะมาแนะนำให้ท่านอีกมากมายผ่านทางเว็บไซต์ sabuynews.com
ที่มา ข้อมูลจาก ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ