ช่วงนี้ประเทศจีนเข้ามามีบทบาทเกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจในประเทศไทยไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะเป็นช่วงขาขึ้นของเศรษฐกิจในประเทศจีน ทำให้มีกลุ่มทุนมากมายเริ่มให้ความสนใจกับการลงทุนในต่างประเทศมากขึ้นตามไปด้วย และล่าสุดประเทศไทยของเราก็มีปั๊มน้ำมันสัญชาติไทยจีนเรียบร้อยแล้ว นั่นก็คือปั๊ม SINOPEC SUSCO ที่พร้อมเปิดให้บริการทั่วทั้งประเทศไทย การถือกำเนิดขึ้นของปั๊มน้ำมันสัญชาติไทยจีนจะมีความน่าสนใจอย่างไร ราคาน้ำมันของพวกเขาเป็นยังไงบ้าง เราจะพาทุกคนไปดูกัน
SINOPEC SUSCO การร่วมลงทุนกันระหว่างซัสโก้และไซโนเปคจากฮ่องกง
SINOPEC SUSCO เป็นปั๊มน้ำมันแห่งใหม่ล่าสุดที่เป็นการร่วมกันระหว่างบริษัท ซัสโก้ จำกัด (มหาชน) ถือหุ้น 51% และบริษัท ไซโนเปค (ฮ่องกง) จำกัด ถือหุ้น 49% โดยปั๊มน้ำมันแห่งแรกตั้งอยู่ที่ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพมหานคร ปั๊มน้ำมันน้องใหม่เจ้านี้มาพร้อมจุดเด่นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการน้ำมันคุณภาพมาตรฐานระดับโลกจาก SINOPEC ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานชั้นนำของจีน มีบริการสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น ศูนย์บริการรถยนต์ B-Quik ร้านสะดวกซื้อ Lawson 108 และร้านกาแฟชาวดอย และยังบริการลูกค้าทุกคนด้วยมาตรฐานระดับสากลอีกด้วย คาดว่าปั๊มน้ำมันแห่งนี้น่าจะสามารถครองใจเหล่าผู้บริโภคชาวไทยได้ไม่น้อยเลยทีเดียว เนื่องจากเป็นทางเลือกใหม่สำหรับปั๊มน้ำมันในประเทศไทย และให้บริการน้ำมันคุณภาพดีในราคาที่เหมาะสม
เปิดรายชื่อสาขาปั๊มน้ำมันน้องใหม่สัญชาติไทยจีน
ณ วันที่ 3 พฤศจิกายน 2566 ปั๊มน้ำมันน้องใหม่เจ้านี้มีทั้งหมด 25 สาขา ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดย 20 สาขา เป็นสาขาของซัสโก้เดิมที่เปลี่ยนชื่อใหม่ และ 5 สาขาเป็นสาขาใหม่ที่จะเปิดในปีนี้ รายชื่อสาขา มีดังนี้
- สาขารัชดาภิเษก (สาขาแรก)
- สาขาบางนา
- สาขาพระราม 3
- สาขาสุขุมวิท
- สาขาศรีนครินทร์
- สาขาบางใหญ่
- สาขารามอินทรา
- สาขาบางแค
- สาขาแจ้งวัฒนะ
- สาขาบางพลี
- สาขาชลบุรี
- สาขาระยอง
- สาขาขอนแก่น
- สาขานครราชสีมา
- สาขาอุดรธานี
- สาขาเชียงใหม่
- สาขาเชียงราย
- สาขาลำปาง
นอกจากนี้ ยังมีแผนขยายสาขาเพิ่มเป็น 100 สาขาภายในปี 2573 อีกด้วย
ทำความรู้จักกับบริษัทไซโนเปค กลุ่มทุนจากฮ่องกงทีมมาลงทุนธุรกิจเชื้อเพลิงในไทย
SINOPEC Group (China Petroleum & Chemical Corporation) เป็นบริษัทพลังงานและเคมีแบบบูรณาการที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 1998 มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ดำเนินธุรกิจครอบคลุมทั้งการสำรวจและผลิต การขนส่ง การกลั่น การแปรรูป การซื้อขาย การจำหน่าย และการตลาดน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ รวมถึงผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ปิโตรเคมี และเคมีภัณฑ์อื่นๆ นอกจากนี้ บริษัทยังดำเนินธุรกิจด้านพลังงานหมุนเวียนและเทคโนโลยีพลังงาน
SINOPEC Group มีเครือข่ายสถานีบริการน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของโลก โดยมีสถานีบริการน้ำมันมากกว่า 30,000 แห่งในประเทศจีนและฮ่องกง นอกจากนี้ บริษัทยังมีเครือข่ายร้านค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดของจีน โดยมีร้านสะดวกซื้อ Easy Joy มากกว่า 27,000 แห่ง ในปี 2565 SINOPEC Group มีรายได้รวม 5.1 ล้านล้านหยวน (ประมาณ 7.9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) และมีกำไรสุทธิ 3.6 แสนล้านหยวน (ประมาณ 5.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ)
ในประเทศไทย SINOPEC Group ดำเนินธุรกิจผ่านบริษัทร่วมทุนกับบริษัท ซัสโก้ จำกัด (มหาชน) ภายใต้ชื่อ SINOPEC SUSCO มีปั๊มน้ำมันให้บริการแล้ว 25 สาขา ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เป้าหมายของ SINOPEC Group คือการเป็นผู้นำด้านพลังงานและเคมีระดับโลก โดยมุ่งมั่นที่จะพัฒนาพลังงานและเคมีภัณฑ์ที่สะอาด ยั่งยืน และมีประสิทธิภาพ เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคทั่วโลก
ซัสโก้ บริษัทค้าน้ำมันและพลังงานที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ซัสโก้ เป็นบริษัทค้าน้ำมันและพลังงานขนาดกลางในประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2520 ดำเนินธุรกิจหลักใน 3 ด้าน ได้แก่
- การจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงผ่านสถานีบริการน้ำมัน
- การจำหน่ายก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV)
- การให้บริการด้านพลังงาน
ซัสโก้มีสถานีบริการน้ำมันและก๊าซธรรมชาติรวมกันกว่า 300 แห่งทั่วประเทศ และยังมีธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ธุรกิจค้าส่งน้ำมัน ธุรกิจขนส่งน้ำมัน และธุรกิจคลังน้ำมัน รวมถึงซั ส โก้ บริษัท ใน เครืออีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น
- บริษัท ซั ส โก้ ดี ล เลอ ร์ จำกัด เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจบริหารจัดการสถานีบริการน้ำมันซัสโก้
- บริษัท สยามมงคลเดินเรือ จำกัด เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจขนส่งน้ำมันทางน้ำ
- บริษัท ศิริเจริญวัฒนา จำกัด เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจค้าส่งน้ำมัน
- บริษัท ซัสโก้ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
- บริษัท ซัสโก้ คาร์ เซอร์วิส จำกัด เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจศูนย์บริการรถยนต์
ปั๊มน้ำมันเจ้าใหม่ค่าน้ำมันถูกหรือแพงกว่าเจ้าอื่น
สำหรับปั๊มน้ำมันเจ้านี้เปิดตัวเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา โดยเปิดโปรโมชั่นลดราคาน้ำมันทุกผลิตภัณฑ์ลิตรละ 1 บาท ตั้งแต่วันที่ 25-31 ตุลาคม 2566 หลังจากหมดโปรโมชั่น พบว่าราคาน้ำมันของพวกเขาส่วนใหญ่เท่ากับแบรนด์เจ้าตลาด อย่างเช่นน้ำมันเบนซิน 95 ราคาลิตรละ 46.19 บาท เท่ากับปั๊ม PTT Station หรือ น้ำมันดีเซล B7 ราคาลิตรละ 36.49 บาท เท่ากับปั๊มบางจาก
หากเทียบกับแบรนด์อื่นที่จำหน่ายน้ำมันชนิดเดียวกัน อย่างเช่น น้ำมันเบนซิน 95 ราคาลิตรละ 47.51 บาท ของพีที หรือ น้ำมันดีเซล B7 ราคาลิตรละ 37.51 บาท ของเชลล์ พบว่า SINOPEC SUSCO ถูกกว่า 1.32 บาท และ 1.02 บาท ตามลำดับ ดังนั้น หากเปรียบเทียบราคาน้ำมัน ณ วันที่ 3 พฤศจิกายน 2566 พบว่าปั๊มแห่งนี้ไม่ได้ถูกกว่าหรือแพงกว่าเจ้าอื่น แต่อยู่ในระดับที่ไม่ขาดทุน
การเข้ามามีบทบาทของกลุ่มทุนจีนที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย
กลุ่มทุนจีนมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย การลงทุนของกลุ่มทุนจีนในไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยข้อมูลจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) พบว่า การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) จากจีนในประเทศไทยมีมูลค่าสูงสุดเป็นอันดับ 1 ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 โดยมีมูลค่ารวม 45,000 ล้านบาท
การลงทุนของกลุ่มทุนจีนในประเทศไทยครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรม ได้แก่ อุตสาหกรรมพลังงาน อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมก่อสร้าง และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว บทบาทของกลุ่มทุนจีนในไทยสามารถสรุปได้ดังนี้
- ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจไทย การลงทุนของกลุ่มทุนจีนช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจไทยในหลายอุตสาหกรรม โดยกลุ่มทุนจีนนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาในประเทศไทย ซึ่งจะช่วยยกระดับประสิทธิภาพการผลิตและคุณภาพสินค้าและบริการของไทย
- สร้างงานและสร้างรายได้ให้กับคนไทย การลงทุนของกลุ่มทุนจีนช่วยสร้างงานและสร้างรายได้ให้กับคนไทย โดยกลุ่มทุนจีนจ้างแรงงานไทยเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน
- ส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างไทยและจีน การลงทุนของกลุ่มทุนจีนช่วยส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างไทยและจีน โดยกลุ่มทุนจีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของไทย และการลงทุนของกลุ่มทุนจีนในประเทศไทยจะช่วยเพิ่มโอกาสทางการค้าและการลงทุนระหว่างทั้งสองประเทศ
อย่างไรก็ตาม การลงทุนของกลุ่มทุนจีนในประเทศไทยก็ก่อให้เกิดประเด็นข้อกังวลบางประการ เช่น ปัญหาการผูกขาดตลาด ปัญหาการละเมิดสิทธิแรงงาน และปัญหาสิ่งแวดล้อม รัฐบาลไทยควรมีมาตรการกำกับดูแลการลงทุนของกลุ่มทุนจีนอย่างเหมาะสม เพื่อประโยชน์สูงสุดของเศรษฐกิจไทยและประชาชน